ออสการ์ 2020 : ปัจจัยที่ทำให้คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอาจเป็นสิ่งที่คุณคิดไม่ถึง - News4U

Tuesday, February 11

ออสการ์ 2020 : ปัจจัยที่ทำให้คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอาจเป็นสิ่งที่คุณคิดไม่ถึง


การทำนายว่าภาพยนตร์เรื่องไหนจะคว้ารางวัลที่สำคัญที่สุดบนเวทีออสการ์ เป็นเรื่องที่นักวิจารณ์ภาพยนตร์ ผู้รับพนัน หรือแม้กระทั่งนักคณิตศาสตร์ ให้ความสนใจ ถึงขั้นที่เคยมีคนเขียนเอกสารทางวิชาการเกี่ยวกับการทำนายผลรางวัลออสการ์
ออสการ์ 2020 : "โจ๊กเกอร์" นำโด่ง เข้าชิง 11 รางวัล ตามมาด้วย คนใหญ่ไอริช, 1917 และ กาลครั้งหนึ่ง…ในฮอลลีวูด
ชีวิตของผู้ลี้ภัยเด็กจากซีเรียเปลี่ยนไปอย่างไร หลัง "Capernaum" หนังที่เขาแสดงได้ชิงออสการ์
ออสการ์ : เปิดภาพชีวิตจริงของผู้คน “ชนชั้นปรสิต” ในกรุงโซล

แต่ปัจจัยต่าง ๆ ที่นำไปสู่ข้อสรุปว่า ภาพยนตร์เรื่องไหนมีโอกาสคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของออสการ์มากที่สุด อาจจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจ
ทำให้ยาวเข้าไว้ภาพยนตร์เรื่อง The Irishman ของมาร์ติน สกอร์เซซี มีความยาวมากที่สุดในบรรดาภาพยนตร์ที่ผ่านเข้ารอบ 10 เรื่องสุดท้าย ในการชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 2020

ความยาวของภาพยนตร์มีความสำคัญสำหรับรางวัลออสการ์

ภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลและภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปครองมักจะมีความยาวมากกว่าเรื่องอื่น ๆ

เว็บไซต์ด้านบันเทิงอย่าง คอลไลเดอร์ (Collider) ได้รวบรวมข้อมูลจากการประกาศผลรางวัลออสการ์ และพบว่า ภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม 59 เรื่องจากทั้งหมด 91 เรื่อง มีความยาวอย่างน้อย 120 นาที

นอกจากนี้ยังพบว่า ภาพยนตร์ที่ยาวที่สุดในบรรดาภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนี้ในแต่ละปี มีโอกาสที่จะคว้ารางวัลได้มากกว่า
หนังทำเงินในบ็อกซ์ออฟฟิศ ไม่จำเป็นว่าจะได้รางวัลเสมอไปภาพยนตร์เรื่อง Titanic ของ เจมส์ คาเมรอน คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 1998 เป็นหนึ่งในข้อยกเว้น เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ถล่มทลาย และยังกวาดรางวัลออสการ์ไปได้หลายสาขาด้วย

ภาพยนตร์ที่ทำรายได้ดีในบ็อกซ์ออฟฟิศ ไม่จำเป็นว่าจะต้องได้รับคำชื่นชม หรือกวาดรางวัลออสการ์ไปได้จำนวนมากเสมอไป

สถิติง่าย ๆ อย่างหนึ่งได้ตอกย้ำให้เห็นถึง รสนิยมที่ไม่เหมือนกันระหว่างสาธารณชนและกรรมการตัดสินรางวัลออสการ์ นั่นก็คือในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา มีภาพยนตร์เพียง 3 เรื่องเท่านั้น ที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและยังเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในการจัดอันดับของบ็อกซ์ออฟฟิศด้วย ได้แก่ Rain Man (ได้รับรางวัลออสการ์ในปี 1989) Titanic (ได้รับรางวัลออสการ์ในปี 1998) และ Lord of The Rings: Return of the King (ได้รับรางวัลออสการ์ในปี 2004)

โดยตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา ไม่มีภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเรื่องใดเลย ที่ติด 10 อันดับแรกของภาพยนตร์ที่ทำรายได้รวมสูงสุดในปีที่ออกฉาย

ปีนี้ ภาพยนตร์เพียงเรื่องเดียวที่อาจจะฝ่ากระแสนี้ได้คือเรื่อง Joker ซึ่งทำรายได้รวมสูงสุดเป็นอันดับ 7 ในปี 2019 ที่ออกฉาย
ต้องมีความดรามาภาพยนตร์แนวดรามาอย่าง Kramer v Kramer ซึ่งคว้ารางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 1980 ทำให้ความเป็นดรามามีอิทธิพลต่อรางวัลนี้

ภาพยนตร์แนวดรามา เป็นประเภทของภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์การมอบรางวัลออสการ์

จากการวิเคราะห์ฐานข้อมูลของรางวัลออสการ์พบว่า ภาพยนตร์แนวดรามา คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไป 47 เรื่อง จากภาพยนตร์ยอดเยี่ยม 91 เรื่อง รองลงมาคือภาพยนตร์แนวตลก ซึ่งคว้าไปได้ 11 เรื่อง


ทุนสร้างไม่ได้ช่วยให้ได้รางวัลในสมัยนี้Moonlight ซึ่งใช้ทุนสร้างเพียง 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 150 ล้านบาท) คว้ารางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 2017

ทุนการสร้างมหาศาลอาจช่วยทำให้ได้รางวัลใหญ่ แต่ปัจจุบัน ภาพยนตร์ทุนหนาก็ไม่ได้คว้ารางวัลบ่อยนัก

ภาพยนตร์เรื่อง Ben-Hur ในสมัยนั้นเป็นภาพยนตร์ที่ใช้ทุนในการสร้างสูงที่สุด คว้ารางวัลออสการ์ไปได้ 11 สาขา รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 1960

หากคิดคำนวณเงินเฟ้อ ทุนที่ใช้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ในปัจจุบันจะเทียบเท่า 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3,900 ล้านบาท) มากกว่า Moonlight ซึ่งคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 2017 ถึงกว่า 25 เท่า

แต่ปัจจุบัน ภาพยนตร์ที่ใช้ทุนสร้างไม่สูงนัก อย่าง Moonlight กลับเป็นภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลได้บ่อยกว่า โดยนับตั้งแต่ปี 1991 มีภาพยนตร์ที่ใช้ทุนในการสร้างสูงสุดเพียง 3 เรื่อง ที่คว้ารางวังภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่ Titanic (1998), Gladiator (2001) และ The Departed (2007)
ทำผลงานได้ดีในการประกาศผลรางวัลเวทีอื่น ๆ ก่อนหน้าการที่ภาพยนตร์เรื่อง Once Upon a Time in Hollywood ของ เควนติน ทารันติโน คว้ารางวัลได้จากเวที Critics Choice Awards อาจทำให้ภาพยนตร์ตัวเก็งชวดรางวัลนี้ในเวทีออสการ์ได้หรือไม่

ก่อนจะถึงการประกาศผลรางวัลออสการ์ มีการประกาศรางวัลในเวทีอื่น ๆ ก่อน รวมถึง รางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัลของสมาคมอุตสาหกรรมภาพยนตร์หลากหลายรางวัล รางวัลต่าง ๆ เหล่านั้น ล้วนมีสมาชิกที่อาจจะลงคะแนนตัดสินรางวัลออสการ์ได้

ดังนั้น การคว้ารางวัลในเวทีอื่น ๆ ก่อนการประกาศผลรางวัลออสการ์ จึงมักจะเป็นตัวบ่งชี้ว่า ภาพยนตร์เรื่องนั้น จะทำผลงานในการประกาศผลรางวัลออสการ์ได้ดีแค่ไหน

ถ้าคุณลองดูภาพยนตร์เรื่อง 1917 ซึ่งคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ สาขาภาพยนตร์ดรามายอดเยี่ยม รวมถึงรางวัล Producers Guild Award ด้วย

Universal Pictures ภาพยนตร์เรื่อง 1917 มีลักษณะเข้าเกณฑ์หลายข้อ

ในบรรดาภาพยนตร์ 14 เรื่องที่คว้าทั้ง 2 รางวัลนี้ได้ มี 11 เรื่องที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในการประกาศผลรางวัลออสการ์

อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณไม่ดีบางอย่างที่อาจทำให้ 1917 ชวดรางวัลใหญ่นี้ไปด้วย คือการที่ภาพยนตร์เรื่อง Once Upon a Time in Hollywood ของ เควนติน ทารันติโน ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปีนี้เช่นกัน สามารถคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก Critics Choice Awards มาครองได้สำเร็จ

โดยนับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก Critics Choice Awards และการประกาศผลรางวัลออสการ์ เป็นเรื่องเดียวกันถึง 13 ครั้งจากทั้งหมด 20 ครั้ง
ไม่มีผู้กำกับหญิงภาพยนตร์เรื่อง Little Women ของ เกรียตา เกร์วิก เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 12 ที่กำกับโดยผู้หญิง ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

นี่คือความจริงในประวัติศาสตร์การประกาศผลรางวัลออสการ์ มีภาพยนตร์เพียง 12 เรื่องที่กำกับโดยผู้หญิงที่ได้รับการเสนอชื่อเช้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อทั้งหมด 560 เรื่อง

และในบรรดาภาพยนตร์ทั้ง 12 เรื่องนั้น มีเพียงเรื่อง Hurt Locker ในปี 2010 ที่คว้ารางวัลไปครองได้สำเร็จ และยังทำให้ แคทริน บิเกโลว์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่คว้ารางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาครองได้ด้วย

ในปี 2020 ภาพยนตร์เรื่อง Little Women ของ เกรียตา เกร์วิก ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่ไม่มีผู้กำกับหญิงคนใดได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

บรรดาผู้ที่รับพนันให้ราคาต่อรองภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้สูงถึง 150 ต่อ 1 ในการคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในการประกาศผล 9 ก.พ. นี้ (ตรงกับเช้าวันที่ 10 ก.พ. ตามเวลาในประเทศไทย)
พูดภาษาอังกฤษ


Getty Images Parasite กลายเป็นภาพยนตร์ที่พูดภาษาต่างประเทศเรื่องแรกที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยียมในเวทีออสการ์

นอกเหนือจากคำชมเชยจากนักวิจารณ์ต่าง ๆ แล้ว การคว้ารางวัลปาล์มทอมคำ จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ทำให้ภาพยนตร์ของเกาหลีใต้เรื่อง Parasite ถูกจับตามองในการประกาศผลรางวัลออสการ์ประจำปีนี้ ซึ่งในที่สุดก็สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นได้สำเร็จด้วยการกวาด 4 รางวัลใหญ่รวมทั้งผู้กำกับยอดเยี่ยมและภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ออสการ์ 2020 : Parasite กวาด 4 รางวัลใหญ่ รวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

ในประวัติศาสตร์การประกาศผลรางวัลออสการ์ ยังไม่เคยมีภาพยนตร์ที่พูดภาษาต่างประเทศเรื่องใด คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมได้มาก่อน และมีเพียง 10 เรื่องที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนี้ แทนที่จะได้เข้าชิงเพียงแค่รางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
มีนักแสดงนำชื่อ เมอรีล สตรีปเมอรีล สตรีป เป็นตัวอย่างของนักแสดงที่คว้ารางวัลออสการ์และช่วยให้ภาพยนตร์ที่เธอนำแสดงได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย

เราล้อเล่น แต่เรื่องนี้มีที่มา

สตรีป เป็นหนึ่งในกลุ่มนักแสดงชั้นนำที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่นำแสดงในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมากที่สุด

โดยมีภาพยนตร์ที่เธอนำแสดงได้รับรางวัลนี้ 3 เรื่อง เช่นเดียวกับนักแสดงชั้นนำของฮอลลีวูดอย่าง มอร์แกน ฟรีแมน, โคลิน เฟิร์ธ, เรล์ฟ ไฟน์ส, ดัสติน ฮอฟฟ์แมน, แจ็ก นิโคลสัน, เบธ แกรนต์, เบอร์นาร์ด ฮิลล์, ไดแอน คีตัน, เชอร์ลีย์ แม็กเลน และทาเลีย ไชร์

ดังนั้น หากมีหนึ่งในนักแสดงเหล่านี้ร่วมแสดงอยู่ด้วย ก็จะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนั้น มีโอกาสสูงขึ้นในการคว้ารางวัล

ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่บรรดานักแสดงคือกลุ่มที่ทำงานในวงการภาพยนตร์กลุ่มใหญ่ที่สุด ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนตัดสินรางวัลออสการ์ ดังนั้นการมีชื่อเสียงและผลงานที่ยอดเยี่ยมจึงมีความสำคัญอย่างมากเสมอ

ความจริงที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ค่อยมีภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเรื่องใดที่ได้รางวัลนี้มาโดยไม่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลด้านการแสดงเลย โดยในประวัติศาสตร์มีเพียง 11 เรื่องเท่านั้นที่ทำได้ และเรื่องล่าสุดคือ Slumdog Millionaire ที่คว้ารางวัลได้ในปี 2009

No comments:

Powered by Blogger.